Tuesday, 16 December 2025 | 4 : 05 am
Tuesday, 16 December 2025
4 : 05 am

ชงครม.อนุมัติรฟม.รับโอนรถไฟฟ้าเขียว-ทอง-แดงบริหารเจ้าเดียว

คณะกรรมการขับเคลื่อนค่าโดยสารเห็นชอบตั้ง รฟม. Single Ownership ดึงสายสีเขียวเส้นทางหลัก ส่วนต่อขยาย สายสีทอง และสายสีแดง บริหารจัดการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม เตรียมเสนอ คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตั้งเป้าแล้วเสร็จปี 70

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินนโยบายการกำหนดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าเพื่อลดภาระค่าครองชีพของประชาชน ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม  2568 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบให้การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)ทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการรถไฟฟ้าแบบองค์รวม (Single Ownership) รวมทั้งให้รับโอนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก สายสีเขียวส่วนต่อขยาย สายสีทอง และสายสีแดง

รวมถึงรายได้และภาระหนี้สินของโครงการดังกล่าว ตามขั้นตอนของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และมอบหมายให้ รฟม.เร่งดำเนินการจัดทำสรุปผลการศึกษา วิเคราะห์ และประเมินความเหมาะสมและคุ้มค่าของการดำเนินการโดยเปรียบเทียบปริมาณผู้โดยสารและรายได้ที่เพิ่มขึ้น กับภาระค่าใช้จ่ายที่ภาครัฐต้องชดเชยหรือสูญเสียรายได้ รวมทั้งให้พิจารณาความเป็นไปได้ในการใช้รายได้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าในอนาคตเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนในการชดเชยเอกชน เพื่อให้โครงการรถไฟฟ้าแต่ละสายสามารถให้บริการประชาชนได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน โดยไม่ก่อให้เกิดภาระต่อการคลังและเป็นการเพิ่มหนี้สาธารณะ

ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับ มติที่ประชุมคณะกรรมการจัดระบบการจราจรทางบก (คจร.) ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 เพื่อผลักดันระบบตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วม  โดยจะนำมติดังกล่าวเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อเห็นชอบในหลักการไว้ก่อน โดยพยายามจะนำเสนอครม.ภายในสัปดาห์นี้หากไม่ทันจะเสนอในสัปดาห์ต่อไป

นายพิพัฒน์กล่าวว่า ส่วนการซื้อคืนสัมปทานรถไฟฟ้านั้น ที่ประชุมได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลักในการพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมและไม่เป็นภาระหรือเพิ่มหนี้สาธารณะ โดยให้เร่งหารือกับเกี่ยวข้องหารือ ได้แก่ กระทรวงคมนาคม กรมการขนส่งทางราง (ขร.) รฟม.สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นต้น ซึ่งเบื้องต้นจากที่ได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มี 2 แนวทางคือ

1.ออกพันธบัตร(บอนด์)เป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย เป็นการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินไปซื้อคืนสัมปทานจากเอกชน

2.รัฐพิจารณาให้สัมปทานเอกชนโดยกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้เอกชนนำสิทธิ์ในสัมปทานไปกู้่เงินจากสถาบันการเงิน เพื่อคืนหนี้ให้กับเอกชนเองก่อน รูปแบบนี้

เท่ากับว่ารัฐบาลได้ซื้อจากเอกชนแล้วผ่านการให้สัมปทานโครงการเพื่อนำไปกู้เงินมาก่อนจากนั้นจะทำสัญญาจ้างเดินรถกับเอกชนแบบ PPP Gross Cost ระยะเวลาประมาณ  30 ปี โดยเอกชนจัดเก็บค่าโดยสารส่งรัฐ จากนั้นรัฐจึงจะจ่ายค่าจ้างเดินรถให้เอกชนและทยอยคืนหนี้ซื้อคืนพร้อมดอกเบี้ยเป็นรายปี

ทั้งนี้ เบื้องต้น รฟม.ได้มีการศึกษารายละเอียดของแต่ละสายและต้นทุนในการดำเนินการ นำเสนอไว้แล้ว แต่จะมีตัวเลขการซื้อคืนสัมปทานของแต่ละสายเท่าไร  ต้องรอผลการหารือที่มอบหมายกระทรวงการคลังไปดำเนินการก่อน ซึ่งเรื่องการซื้อคืนสัมปทาน ยังต้องมีการเจรจากับเอกชนที่ได้รับสัมปทานให้ได้ข้อสรุปเสียก่อนด้วยคงไม่ทันรัฐบาลชุดนี้ เพราะทางคลังคงต้องใช้เวลาสักระยะ

ขณะเดียวกันทางรฟม.มีการหารือเบื้องต้นกับทางบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM เอกชนผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ บีทีเอสซี ผู้รับสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว กรณีการซื้อคืนสัมปทานไปบ้างแล้ว ทางเอกชนไม่ขัดข้องแต่ราคาซื้อคืนต้องเหมาะสม ในมุมของเอกชนทำธุรกิจก็คงต้องดูผลกำไร เป็นเรื่องปกติ ส่วนภาครัฐอาจจะทำได้แค่เสมอตัวหรือบางทีอาจต้องยอมขาดทุนบ้าง เนื่องจากต้องให้บริการที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน อย่าหวังว่าเมื่อซื้อคืนมาแล้วรัฐจะทำกำไร เพราะระบบขนส่งมวลชนแค่ไม่ขาดทุนถือว่าเก่งมากแล้ว 

“จะมีการเสนอครม.ขอความเห็นชอบหลักการไว้ก่อน เพื่อเป็นสารตั้งต้นว่า รัฐบาลอนุทินฯมีนโยบายค่าเดินทางในระบบขนส่งมวลชน โดยมีตั๋วร่วมและค่าโดยสารร่วม และไม่ว่าต่อไปจะเป็นรัฐบาลไหนก็สามารถนำไปขับเคลื่อนต่อได้เลย”

นายพิพัฒน์ กล่าวว่า ตามหลักการจะโอนรถไฟฟ้าทุกสายในกรุงเทพฯ มาอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรฟม. ก่อนและมีการซื้อคืนสัมปทานต่อไป เบื้องต้นรฟม.ศึกษาตัวเลขต่างๆ ไว้แล้ว แต่จะต้องเจรจากับเอกชน โดยต้องรอทางกระทรวงการคลังก่อน หลังซื้อคืนมาแล้ว รฟม.จะจ้างเอกชนให้บริหารการเดินรถในรูปแบบ PPP Gross Cost จากนั้นจะขยายโครงข่ายอัตราค่าโดยสารเหมารายวันครอบคลุมไปถึงรถโดยสารประจำทาง ขสมก. ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนรถโดยสารที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงเป็นพลังงานไฟฟ้า (EV) ทั้งหมด และเปลี่ยนจากรถร้อนเป็นรถปรับอากาศด้วย โดยขสมก.อยู่ระหว่างประมูลเช่ารถโดยสารปรับอากาศ EV จำนวน 1,520 คัน เพื่อทดแทนรถร้อนครีมแดง คาดจะส่งมอบได้ในปี 2569 และจะเริ่มขยายค่าโดยสารเหมารายวันไปใช้กับรถเมล์ได้

นายพิพัฒน์กล่าวว่า กรณีรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนสัมปทานจะหมดอายุในปี 2572 และกรุงเทพมหานคร (กทม.) อยู่ระหว่างศึกษาต่อสัมปทานกับทางบีทีเอส นั้น ตอนนี้มติที่ประชุมฯและนโยบายโอนโครงการมาให้รฟม.เป็นการส่งสัญญาณว่าจะมีการซื้อคืนสัมปทาน และหากผ่านครม.ทางกทม.ก็คงต้องหยุดการศึกษา PPP สายสีเขียว

ด้านนายกาจผจญ อุดมธรรมภักดี  ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) กล่าวว่า รฟม.ได้มีการจ้างที่ปรึกษาศึกษาและวิเคราะห์ตัวเลขที่เกี่ยวข้องสำหรับแนวทางการซื้อคืนสัมปทานและจ้างเอกชนบริหารการเดินรถพบว่า ระยะเวลา 30 ปี สามารถดำเนินการจ่ายคืนค่าสัมปทานให้เอกชน อย่างไรก็ตามรูปแบบ และระยะเวลาในการดำเนินการ จะรอผลการหารือร่วมกับกระทรวงการคลังรวมถึงการเจรจากับเอกชนด้วย

“เนื่องจากรถไฟฟ้าแต่ละเส้นทางจะมีรูปแบบการบริหารจัดการต่างกัน อาทิ รถไฟฟ้าสายสีเขียว กทม.เป็นคู่สัญญากับสัมปทานกับเอกชน ขณะที่รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย  กทม.มอบให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ซึ่งเป็นวิสาหกิจของกทม.ที่ถือหุ้น 99.98% เป็นคู่สัญญาว่าจ้างเอกชนเดินรถ  ส่วนรถไฟฟ้าสายสีแดง รฟม. สามารถเจรจา รฟท. ในฐานะหน่วยงานรัฐด้วยกันได้โดยตรง จะมีประเด็นเรื่องทรัพย์สินของโครงการจะโอนด้วยหรือไม่ ทั้งหมดต้องรอผลการศึกษาจะออกมาในรูปแบบใด โดยใช้เวลาศึกษาประมาณ 1 ปี  อย่างไรก็ตามจากการหารือร่วมกับ กทม. และรฟท. เบื้องต้นไม่ขัดข้องแต่อย่างใด ทั้งนี้ นายพิพัฒน์ มอบนโยบายรฟม.ให้ดำเนินการทยอยรับโอนให้แล้วเสร็จภายใน 2ปี ระหว่างปี 2569-2570” นายกาจผจญ กล่าว

Lastest